ปัจจุบันสื่อเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญทั้งด้านการเรียนรู้และความบันเทิงสำหรับเด็ก การใช้สื่ออย่างเหมาะสมจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ของบุตรหลานได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม การใช้งานที่ไม่เหมาะสมหรือขาดการดูแล อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย ใจ และพฤติกรรมได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้ปกครองควรให้ความใส่ใจและมีบทบาทในการดูแลอย่างใกล้ชิด โดยมีแนวทางดังนี้

🔹  กำหนดเวลาในการใช้งานอย่างเหมาะสม
ควรจำกัดเวลาในการใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีไม่เกิน 1–2 ชั่วโมงต่อวัน และควรมีช่วงพักสายตาเป็นระยะ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพ

🔹 ส่งเสริมการใช้สื่อเพื่อการเรียนรู้
แนะนำให้บุตรหลานใช้เทคโนโลยีในกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ เช่น การเรียนออนไลน์ การดูสารคดี หรือใช้แอปพลิเคชันเพื่อการศึกษา

🔹 เลือกเนื้อหาที่เหมาะสมตามวัย
ผู้ปกครองควรตรวจสอบเนื้อหาที่บุตรหลานรับชม เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นเนื้อหาที่เหมาะสม ปลอดภัย และส่งเสริมทักษะที่จำเป็นในวัยเรียน

🔹 อยู่ด้วยกันขณะบุตรหลานใช้งาน
ควรอยู่ใกล้ชิดหรือใช้งานร่วมกันกับบุตรหลานเมื่อเป็นไปได้ เพื่อพูดคุย ชี้แนะ และใช้เป็นโอกาสในการสอนเรื่องความปลอดภัยในการใช้สื่อ

🔹 สอนเรื่องความปลอดภัยในโลกออนไลน์
ปลูกฝังให้บุตรหลานรู้จักป้องกันตนเอง เช่น ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ไม่คลิกหรือตอบกลับข้อความจากคนแปลกหน้า และไม่แชร์ภาพที่ไม่เหมาะสม

🔹 ส่งเสริมกิจกรรมอื่นร่วมด้วย
กระตุ้นให้บุตรหลานทำกิจกรรมหลากหลายนอกจอ เช่น อ่านหนังสือ วาดภาพ เล่นกีฬา หรือใช้เวลาร่วมกับครอบครัว

🔹 เป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้เทคโนโลยี
ผู้ปกครองควรแสดงพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม เช่น ไม่ใช้โทรศัพท์ระหว่างรับประทานอาหารหรือพูดคุยกับบุตรหลาน

🙏ขอขอบคุณที่มา : https://inetfoundation.or.th/media?media_type=6

     แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้โทรศัพท์ในการหลอกลวงเหยื่อให้โอนเงิน โดยมักจะแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ธนาคาร, บริษัทขนส่ง, หรือหน่วยงานรัฐบาล เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและหลอกล่อให้เหยื่อหลงเชื่อรูปแบบการหลอกลวงให้ไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปัจจุบันมีรูปแบบการหลอกลวงให้คนไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลากหลายรูปแบบ เช่น

🔹ประกาศรับสมัครงาน : โฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่น เฟซบุ๊ก, ไลน์, หรือเว็บไซต์หางาน โดยเสนอผลตอบแทนที่สูงมากเมื่อเทียบกับงานอื่นๆ และไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์

🔹ชักชวนผ่านคนรู้จัก : คนร้ายจะชักชวนเพื่อนหรือคนรู้จักให้ไปทำงานด้วยกัน โดยบอกว่าเป็นงานที่ง่ายและได้เงินดี

🔹หลอกล่อด้วยการให้เงินค่าเดินทาง : คนร้ายจะชวนเหยื่อไปสัมภาษณ์งานที่ต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ โดยให้เงินค่าเดินทางล่วงหน้า เพื่อดึงดูดให้เหยื่อหลงเชื่อ

วิธีการหลอกลวง

🔹สัญญาว่าจะได้เงินเดือนสูง : คนร้ายจะเสนอเงินเดือนที่สูงมาก เพื่อล่อให้อาสาสมัครหลงเชื่อ

🔹ไม่ต้องมีประสบการณ์ : คนร้ายจะบอกว่างานนี้ไม่ต้องมีประสบการณ์มาก่อน ทำให้คนที่กำลังมองหางานง่าย ๆ หลงเชื่อได้ง่าย

🔹สภาพการทำงานที่ดี : คนร้ายจะบอกว่าสภาพการทำงานดี มีที่พัก อาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

🔹หลอกล่อให้ไปทำงานต่างประเทศ : คนร้ายจะเสนอโอกาสให้ไปทำงานต่างประเทศ โดยสัญญาว่าจะได้ค่าตอบแทนสูงและมีชีวิตที่ดีขึ้น

ผลกระทบจากการตกเป็นเหยื่อ

🔹ถูกดำเนินคดี : ผู้ที่ไปทำงานให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีความเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง

🔹เสียชื่อเสียง : การถูกจับกุมในคดีฉ้อโกงจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและอนาคต

🔹ถูกขู่เข็ญ : ผู้ที่ต้องการเลิกทำงานอาจถูกขู่เข็ญหรือทำร้ายร่างกาย

🔹ติดอยู่ในต่างประเทศ : ผู้ที่ถูกหลอกล่อให้ไปทำงานต่างประเทศอาจติดอยู่ในประเทศนั้นโดยไม่ได้รับค่าจ้าง และไม่สามารถกลับประเทศได้

วิธีป้องกันตัวเอง

🔹ตรวจสอบข้อมูลบริษัทให้ละเอียด : ก่อนตัดสินใจสมัครงาน ควรตรวจสอบข้อมูลบริษัทให้ละเอียด เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และชื่อผู้ติดต่อ

🔹ระวังประกาศรับสมัครงานที่น่าสงสัย : หากพบประกาศรับสมัครงานที่เสนอผลตอบแทนสูงเกินจริง หรือไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน ควรหลีกเลี่ยง

🔹ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า : อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น เลขบัญชีธนาคาร หรือสำเนาบัตรประชาชน กับคนแปลกหน้า

🔹ปรึกษาคนใกล้ชิด : ก่อนตัดสินใจทำอะไร ควรปรึกษาคนใกล้ชิด เช่น พ่อแม่ พี่น้อง หรือเพื่อน

🔹ติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง : หากสงสัยว่าถูกหลอกลวง สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากตำรวจ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้

การหลอกลวงให้ไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรง เราทุกคนควรตระหนักถึงอันตราย และระมัดระวังในการตัดสินใจ หากพบเห็นพฤติกรรมที่น่าสงสัย ควรรีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อเพิ่มขึ้น

ขอขอบคุณที่มาของ ข้อมูล https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/31/iid/354795